ข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิ และ ทุติยภูมิ
โรคข้อเข่าเสื่อม ที่กล่าวถึงกันอยู่เป็นประจำในความหมายของคนทั่วไป หมายถึง ภาวะที่ข้อเกิดความผิดปกติเนื่องจากสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงแบบถดถอย ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับอายุที่มากขึ้น เรียกว่าข้อเข่าเสื่อมชนิดปฐมภูมิ ถ้าหากว่า โรคข้อเข่าเสื่อมมีสาเหตุที่ผิดปกติที่เกิดกับข้อเข่ามาก่อน เช่น การอักเสบของข้อเข่าจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ติดเชื้อ ไขข้ออักเสบ กระดูกหัก เป็นต้น แล้วทำให้ในเวลาต่อมาผิวข้อผิดปกติ และเกิดข้อเสื่อมตามมา ข้อเสื่อมชนิดนี้เรียกว่าข้อเสื่อมทุติยภูมิ พบได้ประปรายในผู้ป่วยทุกอายุ แต่โดยรวมพบได้ไม่บ่อยเท่าข้อเสื่อมชนิดแรก
เมื่อข้อเสื่อมเกิดที่ข้อเข่า
โรคข้อเสื่อมที่เกิดกับข้อเข่าเป็นโรคข้อเข่าที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ เริ่มพบได้ตั้งแต่อายุ 45 ปี แต่มักพบบ่อยเมื่ออายุมากกว่า 60 ปี เราจะเข้าใจการเกิดโรคนี้จากภาวะสูงอายุได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของการเหี่ยวย่นของผิวหนังกับข้อเข่าของผู้สูงอายุ โดยเมื่ออายุน้อย ผิวหนังมีความเต่งตึงเช่นเดียวกับผิวข้อที่มีผิวเรียบ มัน วาว แต่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังเหี่ยวย่นขึ้น เช่นเดียวกับการเสื่อมสภาพของผิวข้อ (รวมถึงเยื่อหุ้มข้อ เส้นเอ็นรอบข้อ และกระดูกที่ประกอบเป็นข้อ) เมื่อผู้ป่วยอายุมากขึ้นมักมีน้ำหนักตัวที่มากขึ้นด้วย และเริ่มมีโครงสร้างภายในข้อไม่เป็นปกติ จึงเกิดความเปลี่ยนแปลงความผิดปกติภายในข้อ อันประกอบด้วย
• ผิวของข้อเข่า ซึ่งเป็นกระดูกอ่อน เริ่มสึกหรอ ทำให้ผิวข้อไม่เรียบ การเคลื่อนไหวข้อ มีอาการติดขัด ฝืด หรือเสียงดังคล้ายกระดาษทรายถูกัน
• การกระจายการรับน้ำหนักของกระดูกผิวข้อ เริ่มผิดปกติ บางบริเวณมากขึ้น บางบริเวณน้อยลง ทำให้การรับน้ำหนักผิดปกติ มีอาการปวดเสียว
• เยื่อหุ้มข้อ ถูกระคายเคือง เกิดการอักเสบ และสร้างน้ำในข้อมากขึ้น ทำให้เกิดอาการปวด บวม และข้ออุ่น
• กล้ามเนื้อรอบข้อเข่า มีความแข็งแรงน้อยลง แรงกระแทกจึงเกิดกับผิวข้อมากขึ้น
• เอ็นยึดข้อ บางส่วนหย่อนยานขึ้น ทำให้ข้อแกว่ง หรือหลวมมากขึ้น เพิ่มการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติมากขึ้น
• แนวแกนขา เริ่มผิดปกติ จากน้ำหนักที่มากขึ้น ร่วมกับเอ็นยึดข้อที่หย่อนยานขึ้น ทำให้เข่าดูโก่ง หรือดูขาเก
• กระดูกรอบข้อเกิดการปรับตัว โดยสร้างกระดูกงอกขึ้นภายในข้อ ทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้น้อยลง กระดูกบริเวณข้อเข่า และรอบ ๆ ข้อ บางลง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มเดินน้อยลง
สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม ได้แก่
• เสื่อมตามอายุ
• น้ำหนักตัวมาก
• ใช้งานข้อเข่ามากเกินไป
• กล้ามเนื้อต้นขาไม่แข็งแรง
• ท่าทางการใช้ข้อเข่าไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งยอง นั่งคุกเข่า นั่งขัดสมาธิ
• การบาดเจ็บต่อข้อเข่า
• ขาดการออกกำลังกาย
การป้องกันและรักษา
1. ลดน้ำหนักตัวในรายที่อ้วน โดย
• อย่ากินจุกจิก
• ลดอาหารไขมัน แป้ง และน้ำตาล
• รับประทานผัก ผลไม้เพิ่มขึ้น
• ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร ประมาณ 1 - 2 แก้ว
• ลดอาหารมื้อเย็น
• งดขนมหวาน และผลไม้ที่มีรสหวาน
• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. หลีกเลี่ยง การใช้ข้อเข่าในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งคุกเข่า, นั่ง ยองๆ, นั่งขัดสมาธิ, นั่งพับเพียบ
3. หลีกเลี่ยงการใช้ข้อเข่ามากเกินไป เช่น การยืนนาน ๆ, การขึ้นลง บันได, การยกของหนัก
4. ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อมีอาการปวดเข่ามาก เข่าโก่ง หรืองอผิดรูป
การรักษาแบ่งเป็น
• การรักษาทางกายภาพ เช่น การใช้ความร้อน-เย็นประคบ
• การใช้เครื่องพยุง เช่น ไม้เท้าพยุงเดิน
• การผ่าตัดในกรณีที่มีการเสื่อมรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ซึ่งมี 2 วิธี คือ
- การผ่าตัดกระดูกให้ตรง
- การเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
5. การบริหารกล้ามเนื้อ ควรบริหารร่างกายเป็นประจำเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และชะลอการเสื่อมของข้อ