ข้อมูลจาก : รศ.นพ.วินัย รัตนสุวรรณ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ภาพจาก : pixabay.com
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยังเป็นปัญหาที่สำคัญในด้านสาธารณสุขของไทย ในยุคที่โรคเอดส์ระบาดใหม่ ๆ ผู้คนต่างตื่นกลัวโรคเอดส์ ขณะเดียวกันก็มีการรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยกันอย่างแพร่หลาย ทำให้มีอัตราการป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในประชากรทั่วไปขณะนั้นลดลงด้วย เนื่องจากการใช้”ถุงยางอนามัย” ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างดี
แต่พบว่าในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เริ่มสูงขึ้น และอายุผู้ป่วยโดยเฉลี่ยต่ำลง ส่วนหนึ่งเนื่องจากวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น และมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยในระดับที่ค่อนข้างต่ำ การที่วัยรุ่นมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยน้อย เนื่องจากมีความเชื่อที่ผิดว่าหากมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่ไม่ใช่หญิงขายบริการทางเพศ จะปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งจากความประมาทในชีวิตเพียงครั้งเดียวก็จะนำพาโรคร้ายไปสู่คนที่คุณรักอย่างคาดไม่ถึง และเป็นเรื่องน่าตกใจที่ปัจจุบันผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกินกว่าครึ่ง ต่างได้รับเชื้อมาจากคู่รักที่เขาเหล่านั้นไว้ใจ
สำหรับประเทศไทย โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(นอกจากโรคเอดส์)ที่เป็นมาก 5 อันดับแรก
โรคหนองใน
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย N.gonorrhea ผู้ป่วยโดยเฉพาะเพศชายที่เป็นโรคนี้จะมีอาการปัสสาวะแสบ และมีหนองออกจากปลายท่อปัสสาวะ รักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ปัจจุบันก็พบว่า เชื้อดื้อยาเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต ส่วนเพศหญิงอาการจะน้อยกว่า บางรายมีเชื้อในช่องคลอดแต่ไม่มีอาการ และสามารถแพร่เชื้อทางการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
โรคหนองในเทียม
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia อาการจะคล้ายหนองในมากแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า โดยปกติเชื้อทั้ง 2 มักจะพบร่วมกันบ่อย ดังนั้นในการรักษาผู้ป่วยแพทย์จะรักษาทั้ง 2 โรค พร้อมกันเลย
แผลริมอ่อน
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย H.ducreyi ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ และแผลมีลักษณะเฉพาะ คือแผลจะค่อนข้างเจ็บมาก มักพบหลาย ๆ แผลพร้อม ๆ กัน สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
เริม
เชื้อเริมเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการตุ่มน้ำใสเป็นกลุ่มบริเวณอวัยวะเพศ ต่อมาตุ่มนี้จะแตกและเป็นแผลค่อนข้างเจ็บ ผู้ป่วยจำนวนมากหายได้เอง แต่ในรายที่เป็นมากหรือภูมิต้านทานร่างกายน้อยผิดปกติ อาจจำเป็นต้องได้รับยาต้านเริมจากแพทย์ เพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น
ซิฟิลิส
เกิดจากเชื้อ Spirochete ชื่อ T.pallidum ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อครั้งแรกจะมีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศเช่นกัน แต่แผลจะต่างกับแผลริมอ่อน คือแผลซิฟิลิสจะอยู่ในร่างกายผู้ป่วยได้นานหลายปี และอาจกำเริบระยะหลังเป็นซิฟิลิสขึ้นสมองได้ ดังนั้นหากพบควรรักษาให้ถูกต้องด้วยยาปฏิชีวนะตั้งแต่แรก เพื่อป้องกันโรคกำเริบในภายหลัง
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คุณสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีที่ดีที่สุด คือ
- ไม่ไปสัมผัสโรค
- ไม่สำส่อนทางเพศ ก็จะเป็นการป้องกันกามโรคได้ดีที่สุด ส่วนการใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีป้องกันรองลงมา แต่วิธีที่ได้ผลแน่ ๆ และดีที่สุด คือคุณต้องงดสำส่อนทางเพศ
การใช้ถุงยางอนามัย
หากจะใช้ก็ต้องใช้อย่างถูกต้อง คือ บีบไล่ลมบริเวณปลายถุงยางให้หมดก่อนสวมใส่ เพื่อป้องกันถุงยางแตกขณะใช้งาน และไม่ควรใช้น้ำมันหรือสารเคมีทาบนถุงยาง เพราะอาจทำให้ถุงยางเสื่อมคุณภาพ และแตกระหว่างใช้งานได้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จัดเป็นโรคใฝ่หา หากไม่สำส่อนทางเพศก็จะปลอดภัยจากโรคเหล่านี้ หรือบางคนอาจโชคร้ายไม่ได้ไปสำส่อนทางเพศ แต่ติดกามโรคจากคู่ครองของตนเอง หากเป็นเช่นนั้น ท่านก็รู้ได้ทันทีว่าคู่ครองของคุณไปสำส่อนทางเพศมา แต่กว่าจะรู้บางทีอาจสายเกินไปที่จะรักษา ทางที่ดีที่สุด “งดสำส่อนทางเพศ”