ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเด็กๆ อาจไม่สบายได้ผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เนื่องจากมีหลายโรคที่มีอาการใกล้เคียงกันจนแทบจะแยกไม่ออก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โรคคาวาซากิ ความรุนแรงของโรคสามารถทำให้เด็กเสียชีวิตเฉียบพลันได้ ถึงตอนนี้พ่อแม่ของเด็กทั้งหลายคงอยากทราบสาเหตุของโรคนี้เพื่อความปลอดภัยของลูกหลาน มาฟังพร้อมๆ กันค่ะ โรคคาวาซากิ พบได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง แต่ส่วนใหญ่จะพบในเพศชายมากกว่า และพบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โดยเฉพาะในช่วงอายุ 1 - 2 ปี โรคนี้ตั้งชื่อตามนายแพทย์คาวาซากิ ซึ่งเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่ได้รวบรวมรายงานผู้ป่วยเป็นคนแรกของโลก สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด เคยมีรายงานว่าเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อบางชนิดทั้งแบคทีเรียและไวรัส การใช้แชมพูซักพรม หรือการอยู่ใกล้แหล่งน้ำ แต่ไม่สามารถสรุปสาเหตุที่แท้จริง พบว่ามีการอักเสบเกิดขึ้นหลายแห่งในร่างกาย ทำให้เกิดอาการแสดงต่าง ๆ ประมาณร้อยละ 25 ของผู้ป่วย เกิดการอักเสบของหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจร่วมด้วย หากให้การวินิจฉัยและรักษาได้ภายใน 10 วัน นับจากมี
ไข้ จะช่วยให้การอักเสบของหลอดเลือดลดลงประมาณร้อยละ 5 ลักษณะเด่นของโรคคาวาซากิ
1. เด็กจะมีไข้สูงทุกคน โดยมากมักเป็นนานเกิน 5 วัน บางรายอาจนาน 3 – 4 สัปดาห์อาจมีผื่นขึ้นตามตัวและแขนขา
2. ตาขาวจะแดง 2 ข้าง แต่ไม่มีขี้ตา
3. ริมฝีปากแห้งแดง อาจแตกมีเลือดออก ลิ้นแดงเป็นตุ่ม ๆ คล้ายผิวสตรอเบอร์รี่
4. ฝ่ามือและฝ่าเท้าบวมแดง ต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอโต
อาการทั้งหมดนี้จะเกิดภายในสัปดาห์แรก ในสัปดาห์ที่ 2 จะมีการลอกของผิวหนัง โดยเริ่มจากบริเวณปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า และอาจลามไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาการแสดงอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วม ได้แก่ ข้ออักเสบโดยเฉพาะบริเวณนิ้วมือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ท้องเสีย ซึ่งอาการดังกล่าวอาจหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา แต่ที่สำคัญคือ โรคนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งอาจทำให้หลอดเลือดหัวใจมีลักษณะโป่งพอง ตีบหรือแคบได้ ในรายที่หลอดเลือดตีบแคบมาก อาจเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเลี้ยงเหมือนที่พบในผู้ใหญ่ที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้ เนื่องจากการวินิจฉัยต้องอาศัยอาการเป็นหลักร่วมกับการตรวจเลือด ซึ่งอาการแสดงมักเกิดไม่พร้อมกัน จึงทำให้เกิดความยากในการวินิจฉัยหากไม่ได้นึกถึงโรคนี้
การรักษาในช่วงที่มีไข้ใน 10 วันแรก จะต้องตรวจหัวใจด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ด เพื่อดูลักษณะหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ และให้ยาลดการอักเสบคือ ยาแอสไพรินขนาดสูงให้รับประทานอย่างต่อเนื่องประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ และให้โปรตีนชนิดหนึ่งเข้าหลอดเลือดดำ พบว่าหลังให้ยาดังกล่าว ไข้มักจะลดลงภายใน 24 - 48 ชั่วโมง หลังจากไข้ลดจะต้องให้ยาแอสไพรินขนาดต่ำวันละ 1 ครั้ง รับประทานต่อเนื่อง 6 – 8 สัปดาห์ เพื่อป้องกันเกร็ดเลือดรวมกันเป็นก้อน ซึ่งอาจไปเพิ่มการอุดตันในหลอดเลือดที่ผิดปกติได้ หลังจากนั้นถ้าตรวจอัลตราซาวน์ดหัวใจซ้ำพบว่า หลอดเลือดหัวใจปกติก็สามารถหยุดยาได้ และจากการติดตามผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดผิดปกติหลัง 8 สัปดาห์นับตั้งแต่มีไข้ไปจนถึงเวลา 1 ปีหลังจากนั้น พบว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจะหายเป็นปกติ ที่เหลือ 1 ใน 3 ยังมีความผิดปกติอยู่ ต้องติดตามเป็นระยะ และรับประทานยาแอสไพรินเป็นประจำไปตลอด
ที่มา ศ.พญ.ดวงมณี เลาหประสิทธิพร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล