ข้อมูลจาก : อ.นพ.นัฐสิทธิ์ ลาภปริสุทธิ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ภาพจาก : pixabay.com
การใช้ยาอาจมีผลเสียต่อการทำงานของไต และถ้าไม่อยากเป็นโรคไต ต้องใช้ยาด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกต้อง
ปัจจุบันเราได้นำยาหลายชนิดมารักษาความเจ็บป่วย เพื่อให้มนุษย์เรามีอายุยืนยาว หรือคุณภาพ ชีวิตดีขึ้น ยาบางชนิดแม้มีผลการรักษาที่ดีแต่ก็มีโทษต่อไต อย่างยาที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีผลเสียต่อไตเป็นอย่างมาก เช่น ยาแก้ปวดลดการอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ อย่าง ไอบูโพรเฟน ไดโคฟีแนค ซีลีคอกซิบ ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการบวม ความดันโลหิตสูงและไตทำงานลดลงด้วย ดังนั้นจึงควรใช้ยาในปริมาณน้อยที่สุดและใช้ในระยะเวลาสั้นที่สุด สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตอยู่แล้ว ควรเลี่ยงการใช้ยากลุ่มนี้
ส่วนยาในกลุ่มที่เป็นพืชสมุนไพร ซึ่งมีการโฆษณาอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้น สามารถตรวจพบผลข้างเคียงต่อไตจากการแพ้ยาได้เช่นกัน อีกทั้งยาในกลุ่มนี้ยังขาดการตรวจสอบมาตรฐานการผลิต ซึ่งอาจทำให้ส่วนประกอบสำคัญทางยาเปลี่ยนแปลงไป หรืออาจปนเปื้อนสารโลหะหนักที่เป็นพิษต่อไต ดังนั้นเมื่อใช้ยากลุ่มนี้จึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพื่อจะได้ระมัดระวังถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนั้นยาบางชนิดที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ ก็อาจมีผลต่อไตได้ เช่น ยาฆ่าเชื้อในกลุ่มเจนต้ามัยซิน อะมิเคซิน รวมทั้งสารทึบรังสีที่ต้องใช้ในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ้าผู้ป่วยทราบว่าตัวเองเป็นโรคไต ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งที่เข้ารับการตรวจรักษา
อย่างไรก็ดี ไม่อยากให้กลัวการใช้ยาไปเสียทั้งหมด ยาที่ใช้ควบคุมความดันโลหิตสูงและเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถชะลอความเสื่อมของไตได้ ดังนั้นความเชื่อที่ว่า การรับประทานยามากทำให้ไตวาย ก็คงไม่ถูกเสียทั้งหมด มีวิธีสังเกตอาการผิดปกติที่พบได้เมื่อไตเสื่อมเรื้อรัง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะมีฟองมาก มีอาการบวมบริเวณหนังตาหรือเท้า และถ้าไตทำงานลดลงมาก อาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนได้ หากมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจการทำงานของไต ซึ่งการตระหนักถึงการใช้ยาควบคู่ไปกับการตรวจคัดกรองโรคไตเป็นระยะๆ จะช่วยให้ท่านห่างไกลโรคไตวายได้ครับ