ข้อมูลจาก : พญ.พูลพิศ ธงไชย ศูนย์ถันยรักษ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ภาพจาก : pixabay.com
จากข้อมูลทั้งต่างประเทศ ในประเทศ รวมถึงสถิติของศูนย์ถันยรักษ์ และสถานวิทยามะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล สามารถสรุปแนวทางการตรวจคัดกรองตรวจคัดกรองสำหรับหญิงไทยโดยทั่วไปดังนี้
1. การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ( breast self examination: BSE) ถือเป็นสิ่งแรกที่จะช่วยให้ผู้หญิงทุกคนป้องกันตนเองจากมะเร็งเต้านม การตรวจนี้มีวัตถุประสงค์ให้สตรีรู้สึกถึงธรรมชาติ เต้านมของตนเองและหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็จะสามารถสังเกตุเห็นได้ด้วยตนเอง โดยควรเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปและตรวจเป็นประจำสม่ำเสมอทุกเดือนตลอดชีวิต ซึ่งขั้นตอนการตรวจประกอบด้วยการดูด้วยตาและการคลำด้วยมือ
ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาที่ทำการศึกษาในสตรีประเทศจีนเมื่อปี คศ.2003 พบว่าการตรวจเต้านมด้วยตนเองไม่มีผลลดอัตราการเสียชีวิต ทำให้หลายประเทศไม่เห็นความสำคัญของการตรวจนี้ แต่เมื่อวันที่ 7 มีนาคม คศ.2013 ที่ผ่านมาทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาเองได้ปรับเอกสารเรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและอธิบายถึงผลการศึกษาของตนเกี่ยวกับเรื่องการตรวจเต้านมด้วยตนเองว่ามี ” good internal validity” แต่ “ poor external validity” ซึ่งหมายความว่ามีความตรงภายในของการวิจัยดี แต่ข้อค้นพบจากการวิจัยนี้ไม่สามารถนำไปสรุปอ้างอิงใช้ได้กับมวลประชากรในสถานการณ์อื่นภายใต้เงื่อนไขเดียวกันได้นั่นเอง
ดังนั้นสำหรับประเทศไทยที่มีรังสีแพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ และเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านมอยู่อย่างจำกัด การตรวจเต้านมด้วยตนเอง(breast self examination; BSE)จึงถือเป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมที่เหมาะสมและสำคัญมากในประเทศไทย รวมทั้งยังเป็นการสร้างความตระหนัก(breast cancer awareness) ให้กับผู้หญิงไทยได้มีความสนใจในสุขภาพของตนอีกด้วย
2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรม (clinical breast examination:CBE) ทุก 3 ปีในสตรีอายุ 20-39 ปี และทุกปีในสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไป
3. การตรวจด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammography)
สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เต้านมไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดควรรีบไปพบแพทย์ทันที