ทำอย่างไรถ้าลูกท่านสมาธิสั้น | Pattaya City Hospital | โรงพยาบาลเมืองพัทยา เราพร้อมดูแลคุณ

บทความเรื่องสุขภาพ

Health Article

ทำอย่างไรถ้าลูกท่านสมาธิสั้น

Date : 17 November 2016

ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
ภาพจาก : pixabay.com

คนที่เป็นพ่อแม่หลายๆ คน คงตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการมีลูกเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เริ่มตั้งแต่การดูแลในช่วงตั้งครรภ์ ช่วงการคลอด การเลี้ยงลูกในวัยทารกจนกระทั่งเข้าสู่วัยเรียน ซึ่งเด็กในแต่ละวัยก็จะมีปัญหาพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเรียน ดื้อ ซน โดยพ่อแม่หลายคนมักเข้าใจว่าเด็กที่ซุกซนมากเป็นเด็กฉลาด แต่นั่นอาจเป็นพฤติกรรมที่ลูกท่านแสดงออกจากการเป็นโรคสมาธิสั้น

โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD  (Attention Deficit/Hyperactive Disorder) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก (ก่อนอายุ 7 ขวบ) จากความผิดปกติของสารเคมีบางอย่างในสมอง ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งอารมณ์ ความคิดและพฤติกรรมของเด็ก ทำให้เกิดปัญหาด้านการเรียน รวมทั้งพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมตามมา โดย โรคนี้ประกอบด้วย 3 กลุ่มอาการ ได้แก่ อาการขาดสมาธิ (Attention Deficit) อาการซน (Hyperactivity) และ อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsivity)เด็กบางคนอาจจะมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง และอาการวู่วาม หุนหันพลันแล่นเป็นหลัก ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กผู้ชาย ในขณะที่เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นบางคนอาจจะไม่ซน แต่มีอาการของการขาดสมาธิเป็นหลัก ซึ่งพบได้ทั้งในเด็กผู้หญิงและผู้ชาย

โรคสมาธิสั้นจะพิจารณาจากประวัติและอาการของเด็กเท่านั้น ไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการทดสอบใดๆ 

มาใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย (นอกจากใช้เพื่อการวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ) ดังนั้นประวัติโดยละเอียดจากพ่อแม่และข้อมูลจากทางโรงเรียน รวมทั้งผลการเรียนของเด็ก จึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการวินิจฉัยอย่างมาก อาการที่บ่งชี้ว่าเด็กอาจมีโรคสมาธิสั้น ได้แก่

1.อาการขาดสมาธิ เด็กจะมีลักษณะวอกแวกง่าย ขาดสมาธิและความตั้งใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ต้องใช้ความคิดหรือความตั้งใจมาก เด็กมักจะแสดงอาการคล้ายเหม่อลอยอยู่บ่อยๆ ฝันกลางวัน ทำงานไม่เสร็จ ผลการทำงานมักจะไม่เรียบร้อย ขาดความรอบคอบ ตกๆ หล่นๆ และดูเหมือนสะเพร่า นอกจากนี้ยังมีลักษณะขี้ลืม ทำของใช้ส่วนตัวหายเป็นประจำ มีลักษณะเหมือนไม่ฟังเวลาเราพูดด้วย เวลาสั่งงานก็มักจะลืมทำหรือทำครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งอาการขาดสมาธินี้มักจะมีต่อเนื่องและติดตัวจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่

2.อาการซนและหุนหันพลันแล่นเด็กจะมีลักษณะซน อยู่ไม่นิ่ง ยุกยิกตลอดเวลา นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยได้ ต้องลุกเดินหรือขยับตัวไปมา ชอบวิ่งหรือปีนป่าย เล่นเสียงดังและผาดโผน หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บและอันตราย ทำให้มักประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ เด็กมักจะพูดมาก หรือพูดไม่หยุด ชอบแกล้งหรือแหย่เด็กคนอื่น นอกจากนี้ยังพบลักษณะวู่วามใจร้อน อารมณ์หุนหันพลันแล่น ทำอะไรไม่คิดถึงผลที่จะเกิดตามมา ทำของเสียหายบ่อยๆ รอคอยอะไรไม่ได้ มักชอบพูดขัดจังหวะหรือพูดแทรกเวลาผู้อื่นคุยกัน หรือแย่งเพื่อนเล่นของเล่น

จากการวิจัยในปัจจุบันพบว่า เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นเกิดจากการพร่องของสารสื่อประสาทในสมองบางตัว ได้แก่ โดพามีน (Dopamine) และนอร์อะดรีนาลิน (Noradrenaline) โดยมีสาเหตุจากพันธุกรรมกว่าร้อยละ 40 และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม หรือการเลี้ยงดูเป็นเพียงปัจจัยเสริมที่ทำให้อาการผิดปกติดีขึ้นหรือแย่ลงเท่านั้น ดังนั้นวิธีการรักษาโรคนี้จึงเน้นไปที่การผสมผสานระหว่างการรักษาด้วยยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว รวมถึงการช่วยเหลือทางด้านการเรียนของเด็ก

ยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาโรคสมาธิสั้นคือ ยาในกลุ่มกระตุ้นระบบประสาท หรือ Psychostimulants เช่น Methylphenidate, Dextroamphetamine หรือ Pemoline ซึ่งพ่อแม่และครูหลายคนเข้าใจผิดคิดว่ายาไปบีบหรือกดสมองของเด็ก ทำให้วิตกกังวล ลังเลหรือไม่สบายใจที่จะให้เด็กใช้ยารักษา แต่ในความเป็นจริงแล้วยาจะออกฤทธิ์โดยการไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดพามีนและนอร์อะดรีนาลินที่พร่องอยู่ให้ออกมามากขึ้นจนถึงระดับปกติ เป็นผลให้เด็กสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น มีสมาธิยาวนานขึ้น และเรียนหนังสือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเนื่องจากมีความเป็นไปได้น้อยมากที่เด็กสมาธิสั้นจะหายจากโรคก่อนอายุ 12 ปี แพทย์จึงแนะนำให้รับประทายาต่อเนื่องจนพ้นวัยประถมก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาลดหรือหยุดยาต่อไป